วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการใช้สีอย่างมืออาชีพ



เทคนิคใช้สีอย่างมืออาชีพ
การใช้สีตกแต่งบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าที่จะทำได้ครับ เพียงรู้เทคนิคในการเลือกและนำไปใช้ ก็ช่วยให้ใช้สีได้อย่างมืออาชีพครับ

เตรียมตัวก่อนซี้อสี
ในท้องตลาดมีสีหลายชนิดให้เลือก ทั้งการเตรียมพื้นผิวแต่ละชนิดก็ต่างกัน จึงควรเตรียมตัวกันสักนิดด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆครับ

1.สำรวจบ้าน
ลองสำรวจบ้านและสิ่งที่จะทาสีใน 2 หัวข้อต่อไปนี้
1.1วัดความกว้างและความสูงของพื้น เพื่อหาปริมาณสีที่จะต้องซื้อ โดยอ่านดูปริมาณด้านข้างกระป๋องว่าทาได้กี่ตารางเมตร (สีทาทับหน้าควรทาอย่างน้อย 2 เที่ยวครับ) ก็จะทราบปริมาณสีที่จะต้องซี้อ
1.2ชนิดพื้นผิว เพราะแต่ละพื้นผิวใช้สีต่างชนิดกัน ซึ่งโดยทั่วไปมีอยู่ 3 พื้นผิวหลัก ๆคือ
ปูน, วัสดุแผ่นเรียบ เช่น ผนังฉาปปูน ฝ้าเผดานยิปซัม ใช้เป็นสีน้ำอะคริลิกครับ
ไม้ เช่น วงกบผนังไม้ ประตูหน้าต่าง ถ้าต้องการทาทับปิดลายไม้ ใช้สีน้ำอะคริลิกสำหรับ งานไม้หรือสีเคลอบเงา ถ้าต้องการโชว์ลายไม้ให้ใช้สีย้อมไม้ หรือน้ำยาเคลือบเงาครับ
โลหะ เช่น รั้วเหล็กราวกันตก ใช้สีเคลือบเงาครับ

2.ทารองพื้นก่อนทาสี
ก่อนทาสีควรทาสีหรือน้ำยารองพื้นก่อนเพื่อช่วยเพิ่มการยึดเกาะของเนื้อสี ซึ่งควรเลือกชนิดของรองพื้นให้เหมาะสมกับพื้นผิวครับ
2.1ปูนเก่า ผนังที่เคยทาสีหรือทิ้งไว้นานแล้วนั้น ควรทำความสะอาดก่อนแล้วจึงทาสีรองพื้นสำหรับปูนเก่า เพื่อช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะให้มากขึ้นครับ
2.2ปูนใหม่ ต้องทิ้งไว้อย่างน้อย 28 วัน จึงทาด้วยน้ำยารองพื้นสำหรับปูนใหม่ เพื่อช่วยป้องกันความเป็นด่างของปูนทำปฏิกิริยากับสี หากไม่ทาน้ำยาร้องพื้นจะเกิดคราบขี้เกลือและหลุดร่อนเร็วซึ่งเป็นปัญหาภาย หลังได้ครับ
2.3ไม้ใหม่ หากเป็นไม้ไม่มียางให้ทาสีรองพื้นกันเชื้อราได้ครับแต่ถ้าเป็นไม้ใหม่ที่มี ยางหรือเลือกสีทาทับหน้าเป็นสีอ่อน ให้ทารองพื้นด้วยสีรองพื้นที่เรียกว่าสีรองพื้นไม้อะลูมิเนียม ซึ่งผสมเกล็ดอะลูมิเนียมป้องกันการซึมของยางไม้ได้ครับ
2.4ไม้เก่า ถ้าฟิล์มสีเดิมยังมีสภาพดี ให้ลูบพื้นผิวด้วยกระดาษทรายเพื่อช่วยในการยึดเกาะ แต่ถ้าสีเดิมเสื่อมสภาพ ควรขัดออกจนถึงเนื้อไม้เดิม แล้วทาสีรองพื้นกันเชื้อราครับ
2.5เหล็กเก่า เหล็กที่เคยทาสีมาแล้วหรือเป็นสนิม ให้ทาด้วยสีรองพื้นกันสนิมเหล็กเก่า ซึ่งช่วยยับยั้งสนิมที่ขัดไม่ออกได้ครับ
2.6เหล็กใหม่ ให้ใช้สีรองพื้นกันสนิมที่ช่วยป้องกันสนิมและเพิ่มแรงยึดเกาะครับ

3.เลือกเกรดสีให้เหมาะ
สีที่มีขายโดยส่วนมากจะมีอยู่ 3 เกรด จึงต้องเลือกให้ตรงกับความต้องการครับ
3.1สีเกรดพิเศษ (Premium) มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้น เช่น สีปลอดเชื้อ-ป้องกันคราบ, สีสร้างลวดลาย, สียืดหยุ่นปกปิดรอยแตกลายงา มีอายุการใช้งาน 8-10 ปี ราคาค่อนข้างสูงครับ
3.2สีเกรดมาตรฐาน (Standard) มีอายุการใช้งาน5-7 ปี ราคาปานกลางนิยมใช้ทั่วไปครับ
3.3สีเกรดประหยัด (Economy) ราคาถูกสุดและ มีอายุการใช้งาน 2-5 ปีครับ

อุปกรณ์ทาสี
ก่อนเริ่มทาสี เรามารู้จักอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทาสีกันก่อนครับ คือ
1.ลูกกลิ้งทาสี เหมาะกับการทาพื้นที่กว้างและมีปริมาณมากใช้ได้กับงานทาสีทุกชนิด ทาได้รวดเร็วและเรียบกว่าการทาด้วยแปรง แต่ไม่สามารถทาบริเวณซอกมุมได้ จึงต้องใช้ร่วมกับแปรงครับ
2.แปรงทาสีน้ำหรือแปรงดอกหญ้า นิยมใช้กับงานทาสีอาคารในบริเวณซอกมุมที่ลูกกลิ้งทาไม่ถึง และผนังที่มีลวดลาย ใช้สำหรับทาสีอะคริลิกครับ
3.แปรงทาน้ำมันชักเงา ใช้ทาไข เชลแล็ก วานิช แล็คเกอร์ และน้ำมันเคลือบเงาต่าง ๆ ขนแปรงนุ่มละเอียดอ่อน ทำจากเส้นใยสังเคราะห์หรือขนกระต่าย ควรเลือกแปรงคุณภาพดี ขนแปรงจะไม่หลุดง่ายครับ
4.แปรงทาสีน้ำมัน มักทำมาจากขนหมูและเส้นใยสังเคราะห์ ขนแปรงแข็งเป็นเส้นตรงไม่แตกกระจายปลายขนแปรงเรียบตรง นิยมใช้ขนาด 1-4 นิ้ว ตามพื้นที่การทาครับ

ครับพอหลังจากได้รับทราบข้อมูลที่ทางทีมงานนำมาให้ศึกษาแล้วท่านผู้เข้าชม เว็บไซต์รู้สึกว่าการเลือกทาสีในประเภทต่าง ๆนั้นเป็นเรื่องง่ายเลยใช่ไหมครับ ทางทีมงาน ebuild หวังว่าข้อมูลที่นำมาเสนอท่านผู้ชมเว็บไซต์คงมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจเกี่ยว กับเรื่องเทคนิคการใช้สีครับ ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของประเภทสีต่าง ๆได้ที่ หมวดหลัก สี แล้วเลือกหมวดรองตามประเภทสีที่ต้องการทราบข้อมูลได้ครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

สถิติ